วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

การซื้อหุ้นอย่างสบายใจ

การซื้อหุ้นอย่างสบายใจ

หลายคนซื้อหุ้นอะไรก็ไม่รู้มาแล้วเครียด เครียดว่าซื้อแล้วบริษัทจะเจ๊งไหม หุ้นจะโดนถล่มหรือเปล่า บทความนี้จะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับเทคนิคการเล่นหุ้นอย่างสบายใจ ไม่เครียด ใช้เวลาไม่มาก และได้กำไรงาม ที่นักลงทุนแบบ VI ต้องรู้ โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีงานประจำเต็มเวลา จะได้ลงทุนกันอย่างสบายใจ และมีผลตอบแทนที่เหนือกว่าการฝากเงินธรรมดาๆ หลายเท่านัก

หลักการในการเลือกหุ้นเพื่อลงทุนอย่างสบายใจ

  • เลือกหุ้นที่เรารู้จัก เช่น รถไฟฟ้า รถใต้ดิน ผู้ให้เครือข่าย ร้านสะดวกซื้อ หรือห้างอะไรก็แล้วแต่ที่เรารู้จัก และรู้ว่ากิจการไปได้สวย ถ้าเราไปซื้อหุ้นอะไรไม่รู้ เกิดมาไม่เคยได้ยิน หรือไม่รู้เลยว่าบริษัททำอะไร ก็อาจทำใหลงทุนด้วยความสบายใจได้ยาก 
  • ดูงบกำไรขาดทุน ตรวจสอบย้อนหลังดูว่า กำไรทุกปีหรือเปล่า ปันผลทุกปีหรือเปล่า การลงทุนที่ดี จำเป็นต้องมีผลตอบแทนออกมาในรูปเงินปันผลทุกปี ไม่ใช่ว่าเก็งกำไรกันอย่างเดียว ให้ยึดหลักที่ว่า หุ้นปั่น เวลาขึ้น ขึ้นเร็ว เวลาลง ก็ลงเร็วเหมือนกัน ดังนั้นถ้าอยากสบายใจ ก็ควรหลีกเลี่ยง อย่าโลภ
  • ดูทรัพย์สิน เทียบกับหนี้สินว่าเป็นอย่างไร หุ้นที่ดี หนี้สินต้องน้อย ถ้าหนี้สินมาก ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็จะมาก กำไรจากการดำเนินงานก็จะน้อย เงินปันผลก็จะน้อย (หรืออาจไม่มีเลย)
  • ดูอัตราส่วน P/E (P/E ratio คือราคาต่อกำไรสุทธิ) ต้องต่ำ ๆ เข้าไว้ คืออัตราความสามารถในการทำกำไรสูงเมื่อเทียบกับราคา หรือมีการเก็งกำไรกันน้อยนั่นเอง จริงอยู่ หุ้นที่ P/E สูง ๆ อาจทำให้เรากำไรเร็วมาก ๆ แต่ถ้าพลาดขึ้นมา ก็ขาดทุนเร็วมาก ๆ เช่นกัน ดังนั้นการเลือกซื้อหุ้นให้สบายใจ ราคาไม่ควรหวือหวามาก
  • ดูว่าใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นข้อมูลเปิดเผย ใคร ๆ ก็เปิดดูได้ เช่น เราต้องการทราบว่าใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของรถไฟฟ้า ก็ให้เปิดดูที่ http://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=BTS&language=th&country=TH เป็นต้น
  • ดูข้อมูลสิทธิประโยชน์ผู้ถือหุ้นในปีที่ผ่าน ๆ มา (ข้อมูลในอดีต) ว่าเท่าที่ผ่านมานี่ เศรษฐกิจแบบนี้ บริษัทที่เราสนใจ จ่ายเงินปันผล หรือหุ้นปันผลเป็นอย่างไรบ้าง บางบริษัท กำไรมหาศาล แต่จ่ายเงินปันผลนิดเดียวก็มี เพราะเก็บเงินเอาไว้ลงทุนต่อ บางบริษัทจ่ายเงินปันผลมามากกว่า 90% ของเงินที่กำไรมา เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น

การตั้งเป้าจากผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในหุ้น ก็คือเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี โดยเลือกซื้อหุ้นที่เน้นความปลอดภัยของตัวกิจการเป็นหลัก หุ้นที่มีความเปลี่ยนแปลงช้าในด้านของธุรกิจ เป็นกิจการที่ไม่ทันสมัย สินค้าเป็นที่ต้องการของคนในปัจจุบันและอนาคต นั่นคือหุ้นที่มีอนาคตนั่นเอง . . . 

อนึ่ง การลงทุนในลักษณะนี้ ไม่ใช่ว่าจะได้กำไรรวดเร็วเป็นรายวัน หรือรายเดือน เพราะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับหุ้นที่มีราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ให้เข้าใจว่าเป็นการลงทุนคนละแบบกันครับ

ไว้พบกันใหม่ . . . 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น